Phra-Buddha-Chinnarat
ถ้าพูดถึงพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของคนพิษณุโลกแล้วทุกคนที่เคยมากราบไหว้คงจะทราบดีถึงความงดงามขององค์พระพุทธรูปปรางค์มารวิชัยที่ถูกขนานนามว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงามและสวยที่สุดในโลกครับด้วยองค์พระที่ปิดทองอร่ามไปทั้งองค์ทำให้แสงไฟภายในโบสถ์ที่ส่องไปยังองค์พระยิ่งทำให้ องค์พระพุทธชินราช นั้นยิ่งสุกเด่นงดงามไปอีกครับ
ในบทความนี้ในฐานะที่ผมเป็นคนพิษณุโลกเกิดและโตมาจากที่นี่ และเรียนที่นี่ตั้งแต่เด็กจนจบ ป.โท ผมเลยอยากจะเก็บภาพในมุมที่บางคนอาจจะยังไม่เคยเห็นองค์พระในมุมนี้ครับคือต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนชอบถ่ายรูปมากครับเลยอยากนำความสวยงามของพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของคนพิดโลกนั้นมาให้ดูกันในแบบมุมมองของผมครับ รูปในบทความนี้นอกจาก พระพุทธชินราชแล้ว ยังมีพระพุทธรูปอีกหลาย ๆ องค์ครับที่ผมได้ไปถ่ายมา องค์พระพุทธรูปจะมีชื่อดังนี้ครับหรือดูชื่อจากใต้รูปภาพได้เลยครับ
ชื่อพระพุทธรูป
• พระพุทธชินราช
• พระพุทธชินสีห์
• พระศรีศาสดา
• สมเด็จนางพญาเรือนแก้ว
[modula id=”1776″]
ประวัติการสร้างพระพุทธชินราช (หลวงพ่อใหญ่)
ในตำนานของพระพุทธชินราชนั้นมีประวัติเหล่าถึงปาฏิหารของการหล่อองค์พระไว้มากมายครับ แต่ในที่นี้ผมจะขอเล่าในแบบที่ผมเคยได้ยินมาโดยไม่ได้อ้างอิงตำนานต่าง ๆ ใน Internet ละกันนะครับ ในเรื่องเล่าบอกว่าพระพุทธชินราชเป็นพระที่หล่อยากสุด ๆ ในบรรดาพระที่หล่อในคราวเดียวกันครั้บในขณะนั้นพระที่ถูกสร้างพร้อมกันนั้นจะมี พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา และพระพุทธชินราช ซึ่งองค์พระพุทธชินราชนั้นแบบว่าหล่อเททองกี่ครั้งกี่หนพอถึงเวลาแกะพิมพ์ออกองค์เพราะจะแตกทุกครั้งหรือไม่ก็จะเสียหายหลังจากการแกะพิมพ์เนื่องจากฟ้าผ่าลงมาที่องค์พระทุกครั้ง ทำให้ไม่สามารถสำเร็จได้เลยซักครั้งแต่อยู่มาวันหนึ่งอยู่ ๆ ก็มีคนนุ่งขาวห่มขาวมาช่วยเททองหล่อองค์พระทำให้การหล่อและการแกะพิมพ์ออกเป็นไปได้ด้วยดีแกะออกมาแล้วได้องค์พระที่สมบูรณ์งดงามและหลังจากนั้นผู้ถือศีลที่หุ่มขาวห่มขาวที่คนสมัยนั้นเรียกกันว่าชีปะขาวนั้นได้เดินหายไปซึ่งจุดที่ชีปะขาวได้หายตัวไปนั้นทุกวันนี้เป็นที่ตั้งของวัดตาปะขาวหายนั่นเองครับ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากไม่รู้ด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจหรืออะไรไม่แน่ใจแต่ทำให้องค์พระที่ได้จากการหล่อในครั้งนั้นงดงามตราตรึงใจผู้ผ่านมาพิษณุโลกและได้เข้ามาแวะกราบไหว้บูชานั้นต่างตกตะลึงในความงดงามขององค์พระพุทธชินราชทุกคนครับ
ประวัติความศักดิ์ของพระพุทธชินราช
มีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้นในตอนที่ท่านได้เสด็จประภาษเมืองพิษณุโลกนั้นได้มาพบพระพุทธชินราชซึ่งท่านเห็นความงดงามขององค์พระแล้วรู้สึกหลงไหลในความงดงามขององค์พระและในขณะเดียวกันนั้นพระองค์ได้ต้องการหาพระพุทธรูปที่มีความงามเพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม จึงต้องการอัญเชิญพระพุทธชินราชลงทางท่าน้ำหน้าวัดในปัจจุบันแต่สิ่งอัศจรรย์นั้นได้เกิดขึ้นคือมีคนเล่าว่าเหล่าทหารที่มาช่วยกันยกองค์เพราะเพื่อขึ้นแท่นไม้เพื่อจะเคลื่อนไปขึ้นแพที่เตรีมไว้ท่าน้ำหน้าวัดนั้นพยายามยกองค์พระยังไงก็ยกไม่ขึ้นรัชกาลที่ 5 ท่านได้ทรงสั่งทหารว่าให้พอแล้วไม่ต้องยกแล้วและได้ตรัสกับทหารที่ยกองค์พระว่า “หลวงพ่อท่านคงต้องการอยู่ที่นี่เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ชาวพิษณุโลกต่อไป” ตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบันทำให้พระพุทธชินราชที่อยู่ในโบสถ์ของวัดใหญ่ยังคงเป็ฯองค์จริงตั้งแต่สมัยที่ถูกสร้างขึ้นจนถึงทุกวันนี้ครับ แต่ในวัดใหญ่นั้นนอกจากหลวงพ่อพระพุทธชินราชแล้วนั้นยังมีพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาอีก 2 องค์ที่อยู่ในโบสถ์ที่แบ่งเป็น 3 ทิศนั้นอีกนะครับแต่หลาย ๆ คนไม่ค่อยรู้จักคนส่วนมากจะไหว้แต่พระพุทธชินราชครับแนะนำว่าใครที่ไปที่วัดใหญ่แห่งนี้ลองเดินวนซ้ายดูนะครับจะเจอพระพุทธชินศีห์และพระศีศาสดาตามลำดับครับถ้าใครได้มาอย่าลืมแวะไหว้กันให้ครบนะครับ แต่พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดานั้น ปัจจุบันเหลือเพียงองค์จำลองเท่านั้นครับเพราะองค์จริงนั้นได้ถูกอัญเชิญไปประดิฐสถานที่วัดในกรุงเทพแล้วครับ
• พระพุทธชินสีห์ ปัจจุบันองค์จริงอยู่ที่ วัดบวรนิเวศวิหาร
• พระศรีศาสดา ปัจจุบันองค์จริงอยู่ที่ วัดบวรนิเวศวิหาร